ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ตอบไม่ได้

๒o ก.ย. ๒๕๕๒

 

ตอบไม่ได้

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาพูดธรรมะเห็นไหม  ธรรมะนี่มันมีหยาบ  มีละเอียด  ธรรมะมันมีมาก  ฉะนั้นเวลาพูดกับส่วนใหญ่มันก็ต้องหลากหลาย  แต่ถ้ามันจะเจาะจงเฉพาะนี่มันก็ต้องเจาะจงเฉพาะเห็นไหม  อย่างเช่น เวลาเขาพูดถึงธรรมะ  ในเว็บไซต์นี่เราบอกว่าธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมะเหนือธรรมชาตินี่ สิ่งนี้ทำไมถึงเหนือธรรมชาติล่ะ  แล้วเขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมดา เราถึงว่าเขาตอบไม่ได้ไง  เขาตอบไม่ได้หรอก 

เมื่อก่อนที่ว่าเวลาเราคุยกันเห็นไหม  พวกนี้พูดทำไมเขาตอบธรรมะละเอียดนักๆ  เพราะมันอยู่ในคำนำไง  คำนำว่าในการประพฤติปฏิบัติมันลงได้กับอภิธรรม คำว่าลงได้กับอภิธรรม  เวลาตอบอย่างนั้นน่ะ  เพราะอะไร  เพราะคำว่าที่มานะ  ที่มาของผู้ที่ปฏิบัติ  การปฏิบัติเราศึกษาปริยัติมานะ ปริยัติเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า เราไปศึกษาปริยัติมา  แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม มันจะเกิดมาจากใจของเรา  เห็นไหมธรรมะส่วนบุคคลจะเกิดจากใจของเรา  ที่มาไง  ถ้าที่มาเกิดจากใจของเรา  ความจริงนี้มันเกิดจากใจ 

แต่เวลาเขาตอบปัญหา  เขาไปตอบที่ว่าละเอียดๆ  เพราะว่ามันเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่มาเห็นไหม  ที่มานี่มันมาจากอภิธรรม  ที่มานี่มันมาจากพระไตรปิฎก คำว่าที่มาจากที่นั่นปุ๊บ  คำว่าที่มา  ถ้าที่มาน่ะธรรมพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้านะ พุทธวิสัยกว้างขวางมาก  ปัญญาพระพุทธเจ้ากว้างขวางมาก  แล้วเราเอาสิ่งนั้นมาศึกษาเราตีความได้  แล้วเราพูดธรรมะอย่างนั้นได้  ฟังดูแล้วมันละเอียดมาก แต่ถ้าเป็นปฏิบัตินะพอฟังนี่จะรู้เลย ว่าที่มานี่มันมาจากตำรา ที่มานี้ไม่ใช่มาจากใจ 

ถ้าที่มาจากตำรานี่เห็นไหม  เพราะตำรานี่ธรรมะพระพุทธเจ้าใช่ไหม ทางวิจัยทำได้มหาศาลเลยแล้วละเอียดมาก  แล้วตำรานี่มันเป็นสาธารณะมันเป็นกลาง  พอเป็นกลางปุ๊บนี่ ชาวพุทธทั้งหมดมาศึกษามาจากที่นี่  คือจุดที่มาอันเดียวกันไง  จุดที่มานี่มันมาจากตำราหมดเลย  พอมาจากตำราหมดเลย   แล้วเวลาคนเอาตำรามาพูดมันก็เข้ากันได้หมดเลย  นี่ไงพอที่มาอย่างนั้นปั๊บ  ใครพอฟังแล้วมันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ไง 

แต่ถ้าธรรมะมาจากใจเห็นไหม  ธรรมะที่เป็นความจริง  ธรรมะเหนือธรรมชาติ มันกุปปธรรม  อกุปปธรรมนี่มันชัดเจนมาก  ถ้ากุปปธรรม  อกุปปธรรม นี่อกุปปธรรม อฐานะที่มันจะแปรสภาพ  สุดท้ายแล้วสิ่งนี้ เวลาพูดถึงว่าเราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามาแล้วก็ยังตีความไม่ได้  ตีความไม่ได้หรอก  ถ้ามันตีความ  สัพเพ  ธัมมา  อนัตตา  เห็นไหม  ธรรมะเป็นอนัตตา  อนัตตากับอัตตาเถียงกันปากเปียกปากแฉะเลย 

ถ้าเป็นความจริงแล้วไม่ต้องเถียง  เพราะมันผ่านมาทั้งหมดไง  อัตตามันก็ผ่านมาแล้ว อัตตานี่ความที่เราหลงไปเราไม่เข้าใจ  อนัตตานี่ อนัตตามันแปรสภาพอย่างไร  อนัตตามันเกิดการกระทำอย่างไร  อย่างเช่นพวกเรามันจะมีการมีงาน  เราจะมีสมบัติต่างๆ   เราต้องผ่านการทำหน้าที่การงานมา  ได้ผลตอบแทนมา  แล้วผลตอบแทนนั้นมันมาสรุปแล้วเป็นอกุปปธรรม  มันผ่านมาทั้งหมด  มันถึงเข้าใจไง 

แต่ถ้ามันไม่เข้าใจเห็นไหม  มันก็เอามาจากตำรา  สิ่งที่มานี่มันที่มา  เราบอกว่าตอบไม่ได้หรอก  เขาจะตอบได้ละเอียดมากเลย  ตอบได้ที่มาจากทางวิชาการละเอียดมากเลย  นี้พอละเอียดมากมันก็อ้างได้ด้วยว่ามันมีที่มาใช่ไหม  ที่มาหมายถึงว่าพอเข้าไปถึงแล้วอยู่ในพระไตรปิฎก   มันมีตำราเป็นพยาน  แล้วเราปฏิบัตินี่ไม่มีตำราเป็นพยานเหรอ  แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมานี่มันก็มีหัวใจเป็นพยาน  ถ้าหัวใจเป็นพยานนะ  เวลาอ้างหลักอันนี้ อ้างหลักในหัวใจ  แต่เวลาพูดถึงมันก็พูดธรรมะพระพุทธเจ้านั่นน่ะ  แต่อ้างหลักในหัวใจ  อ้างความเป็นจริงอันนี้  แล้วความจริงอันนี้มันต้องถูกด้วยนะ 

ถ้าความจริงนี้มันไม่ถูก  มันก็กลายเป็นยืนกระต่ายขาเดียวไง  ยืนกระต่ายขาเดียวคือความเห็นของเราอ้างในหัวใจของเรา  แต่ในหัวใจเราไม่เป็นจริง  ถ้าในหัวใจเราไม่เป็นจริงนี้อ้างออกมามันก็ไปขัดแย้งกัน  ไปขัดแย้งกันกับผู้ที่เป็นความจริง  มันขัดแย้งกันอย่างไร ถ้ามันขัดแย้งกันมันก็อยู่ในกฎของการเปลี่ยนแปลงอยู่เห็นไหม  มันอยู่ในกฎของการเปลี่ยนแปลงอยู่  มันไม่เป็นอกุปปธรรม  มันเป็นกุปปธรรม  กุปปธรรม   สัพเพ  ธัมมา อนัตตา  สภาวธรรมนี่เป็นกุปปธรรม  มันยังแปรสภาพของมันอยู่  มันยังแปรสภาพของมันไปได้  มันยังเจริญก้าวหน้าได้ไง 

อย่างถ้าเราปฏิบัติไปมันเจริญก้าวหน้าไปเรื่อย  เจริญก้าวหน้าไปเรื่อย  นี่ไงมันแปรสภาพไปตลอดเห็นไหม  ถ้ามันยังแปรสภาพอยู่  มันยังก้าวหน้าของมันไป  แต่มันไม่ถึงที่สุด  มันยังไม่สรุป ทีนี้ไอ้ตอนสรุปนี่สำคัญมากเห็นไหม  ตอนสรุปนี้สำคัญมากเพราะอะไร  เพราะว่าในการประพฤติปฏิบัติของครูบาอาจารย์เรามา  เมื่อก่อนเรื่องอย่างนี้มันจะเป็นเรื่องภายใน  เป็นเรื่องภายในของวงกรรมฐานมันจะรู้กัน 

แต่ในเมื่อวงกรรมฐานมันกว้างขึ้น  ในการสื่อสารเวลาเทศนาว่าการ  ในการที่พระปฏิบัติถามปัญหาขึ้นมา ไอ้นี่มันสื่อสารออกมา  พอสื่อสารออกมาเป็นขณะจิตใช่ไหม พอเป็นขณะจิต  ผู้ที่ปฏิบัติ  ทั้งๆ ที่ทางวิชาการน่ะ  แต่คำว่าขณะจิตมันมีอยู่ในตำรา  แต่ความจริงมันยังไม่เกิด  ยังไม่ปรากฏ  งั้นพอปรากฏขึ้นมาเช่นของหลวงปู่ขาวเห็นไหม  ถึงที่สุดท่านสรุปของท่านเห็นไหม  ท่านบอกพิจารณาจิตนี้เหมือนเม็ดข้าว เวลาจิตมันกำลังหมุนอยู่  เวลาไปบิณฑบาต เห็นต้นข้าว เห็นชาวนาเขาทำข้าวอยู่เห็นไหม มันเปรียบเทียบเห็นไหม 

มันเหมือนกับสมัยพุทธกาล ที่พระจะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะเห็นไหม  จิตมันสมดุลของมันอยู่ มันงงในปัญหาของตัวเองจะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เกิดฝนตกหนัก  น้ำเจิ่งนองไปหมดเลย  แล้วในชายคาฝนมันหยดลงไปในน้ำ  มันเป็นจุดเป็นต่อมขึ้นมาเห็นไหม  คำว่าเป็นจุดเป็นต่อม  นี่จิตมันพิจารณาของมันไป  สิ่งกระทบนั้นมันกระทบถึงหัวใจ  ผลัวะ  

หลวงปู่ขาวท่านไปบิณฑบาตเห็นไหม  ออกไปบิณฑบาตตามท้องนา  เห็นเขาทำนา  เห็นเมล็ดข้าว  ท่านก็เจริญสติของท่าน  พิจารณาของท่านไป  นี่พอมันขาดของมัน มันเป็นวิทยานิพนธ์ไง มันเป็นขณะจิต  เพราะมันมีอย่างนี้เห็นไหม เวลาผู้ที่ปฏิบัติมันก็ต้องสรุปเข้ามาตรงนี้ให้ได้ สรุปนี่อันนี้เป็นความจริงในใจของหลวงปู่ขาว  แต่ผู้ที่จะมาทำอย่างนี้ เหมือนอย่างวิทยานิพนธ์ของเรานี่ใครจะมาเปิดดูก็ได้  แล้วใครจะไปเขียนซ้ำก็ได้  ถ้าเขียนซ้ำมันผิดไง  เพราะเขียนซ้ำไงมันไม่เป็นความจริงเห็นไหม 

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา  วิทยานิพนธ์นี่ทางวิชาการเขามีต้นแบบใช่ไหม  แต่ในการปฏิบัตินี้มันเป็นปัจจุบัน  จะเอาต้นแบบมาจากไหน  ถ้าเอาต้นแบบอย่างนั้นมา เวลาเราฟังจากครูบาอาจารย์  ท่านเทศนาว่าการให้เราฟัง มันเป็นกำลังใจของเรา มันเป็นสิ่งที่ปลุกปลอบใจเห็นไหม  เราเอาตรงนั้นเป็นตัวอย่าง  แต่เวลาทำของเรานี่  มันต้องเป็นของเราขึ้นมา  แต่ถ้าเราเอาตรงนั้นมาเป็นสมบัติของเรา  มันก็เป็นสัญญาหมด 

มันเป็นการก๊อบปี้ไง  ก๊อบปี้คืออะไร  ก๊อบปี้มันก็คือกิเลสไง  กิเลสมันสร้างภาพไง  ทั้งๆ ที่เราปฏิบัตินี่เราจะฆ่ากิเลสนะ  แต่เวลาปฏิบัติขึ้นไปเราลงทุนลงแรง ปฏิบัติเข้ามาในธรรมะของพระพุทธเจ้า  ศึกษาธรรมพระพุทธเจ้ามาแล้วปฏิบัติ  เป็นการปฏิบัติของเราขึ้นมา  แล้วปฏิบัติขึ้นมาแล้ว  มันยังสรุปลงเป็นทางสัญญา  มันก็เหมือนกับว่าสูญเปล่าไง  มันไม่มีผล  มันไม่มีผลนะ 

ถ้าไปเหมือนแล้วมันไม่มีผลนะ  มันไม่มีผลเพราะอะไร  เหมือนกับเราทำธุรกิจรอบนี้  เราส่งของไปแล้วเราเก็บเงินไม่ได้เลย  นี่ก็เหมือนกันลงทุนลงแรงมหาศาลเลย  แต่ผลตอบสนองไม่มีเลย  ผลตอบสนองสูญเปล่าเห็นไหม  แต่ถ้ามันทำของเราขึ้นมา  เราทำธุรกิจของเราขึ้นมา  เราส่งของไปเราเก็บเงินทุกอย่างได้หมดเห็นไหม  นี่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมามันจะต้องเป็นสภาวะแบบนั้น  มันถึงว่าเหมือนไม่เหมือนนี่ไม่สำคัญ  เพราะคำว่าเหมือนนี่มันเป็นการจุดประเด็นไง 

เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ของท่าน  ท่านให้เอาเป็นแบบอย่าง  เหมือนเราสอนเด็ก เราจะเอาอะไรเป็นตัวอย่างให้เด็กทำ  ว่าเด็กควรทำอย่างนี้  ความดำรงชีวิตอย่างนี้  พวกเราอยู่ในบ้าน คนเราอยู่ในครอบครัว  อย่างนี้เป็นคนดี  แบบอย่างที่จะสอนเด็กเห็นไหม  นี่ก็เหมือนกันเวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติเป็น  ท่านจะเอาอะไรเป็นแบบอย่างมาสอนพวกเรา  ทีนี้พอเอาแบบอย่างมาสอนพวกเรา ไอ้อย่างทางโลกเห็นไหม  ถ้าพ่อแม่ของเรานี่เป็นคนดี  ความกตัญญูเป็นสมบัติของคนดี แบบอย่างนี้  เราทำตัวแบบนี้เป็นคนดี อย่างนี้ได้ ทางโลกน่ะได้  ได้เพราะอะไร ได้เพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่สังคมเขายอมรับกัน  ความดีแค่นี้  ความดีอย่างหยาบๆ ความดีแบบโลก  เป็นคนดีก็คือคนดีแล้ว 

          แต่ในการปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้น  การปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร  เพราะการปฏิบัติมันเป็นคนดีอย่างนั้น  ดีและชั่ว  เพราะอะไร  ความดีกิเลสมันก็ติดดี  กิเลสมันเอาความดีมาให้เราติด  เอาความชั่วนั้นมาต่อต้านให้เราติด  กิเลสเอา ๒ สิ่งนี้มาล่อลวงเรา  ไม่ใช่ล่อลวง  เป็นเนื้อหาสาระเลยเป็นข้อเท็จจริง  ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้เลย  แล้วเราก็ไปติดสภาวะแบบนี้ แต่ถ้ามันเป็นปรมัตถธรรม  เวลามันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมานะ  มันทำลายตัวมันเอง  การที่จะทำลายตัวมันเอง  กิเลสมันจะยอมให้มันทำลายตัวมันเองไหม   ในเมื่อเราจะทำความสะอาดภาชนะชิ้นหนึ่ง  ภาชนะชิ้นนั้นมีความสกปรกใช่ไหม  เราจะทำภาชนะนั้นให้สะอาด  เราจะเอาอะไรเข้าไปล้างในภาชนะนั้น

นี่ก็เหมือนกัน  จิตของเรามันเป็นภาชนะเห็นไหม  มันเป็นธาตุวัตถุ  แล้วความสกปรกในภาชนะนั้น  จิตก็เหมือนกัน ในเมื่อตัวจิตตัวภพเห็นไหม มันมีความดีความชั่วของมันอยู่ในหัวใจของมัน  แล้วมันจะย้อนกลับเข้ามาทำความสะอาดภาชนะนั้น  ทำความสะอาดสิ่งสกปรกในภาชนะนั้น  แล้วยังทำลายตัวภาชนะนั้นอีกด้วย  ไอ้ตรงนี้มันจะเอาสิ่งที่เป็นสัญญาจากข้างนอกเข้ามานี่มันไม่ได้  เพราะสัญญาข้างนอกมา  มันทำให้เราไม่เห็นตัวภาชนะนั้นไง  ตัวภาชนะนั้นเราไม่เห็นนะ  เราไปเห็นการสร้างภาพให้เหมือนกับตัวอย่างแบบอย่างอันนั้น อันนั้นมันเป็นแบบอย่าง เหมือนของที่เราเอาเข้ามาซ้อนในความรู้สึกเรา  เอาของสิ่งนั้นมาซ้อนในความรู้สึกเราเห็นไหม  ความรู้สึกเราเลยไม่มี  เป็นสิ่งที่เราเอาแบบอย่างนั้นมาตั้ง 

แต่ถ้ามันเป็นปัจจุบันขึ้นมา  มันจะเป็นตัวของมันเองเลยเห็นไหม    พอเป็นตัวของมันเอง  แบบอย่างที่จะมาสร้างไม่มี  เป็นไปไม่ได้  เพียงแต่เราจะทำงานแล้วเรายังทำอะไรไม่เป็น  เราก็เอาแบบอย่างนั้นเป็นตัวตั้ง   เป็นแบบอย่าง  แต่ตัวจริง ตัวจริงคือสิ่งที่มันเป็นในใจเรา  ตัวจริงอันนี้มันจะเข้ามา แล้วปัญญาของเรามันจะเกิด  ถ้ามันจะเหมือนนะ  มันก็เหมือนแต่ไม่เหมือนกัน 

ถ้ามันจะเหมือนเห็นไหม ดูอย่างพิจารณากายของครูบาอาจารย์ของเรานี่  หลวงปู่ชอบ  หลวงปู่เจี๊ยะ  หรือของครูบาอาจารย์อื่น  ก็พิจารณากายทั้งนั้น พิจารณากายมาตลอดเลย  หลวงปู่คำดีพิจารณากาย  แต่การพิจารณากายมันก็คนละกาย  มันคนละกาย  มันคนละขณะ  เพราะปัญญาของคน  ความเป็นไปของคนมันไม่เหมือนกัน  เห็นไหม  สิ่งที่มันเป็นความจริงอย่างนี้  มันจะเป็นความจริงของมัน  ถึงบอกว่าเวลาเขาพูดธรรมะเห็นไหม  สิ่งที่พูดที่มาก็คือตำรา แต่ในเมื่อวงกรรมฐานเห็นไหม ถ้าเป็นตำราทั้งหมดมันจะไม่มีความน่าเชื่อถือ  มันก็ต้องเอาขณะจิตของพระป่า  เอาขณะจิตของครูบาอาจารย์  ของหลวงปู่ขาว  ของหลวงปู่แหวน  ของครูบาอาจารย์  ของหลวงตา ต่างๆ

ขณะจิต  แต่ขณะจิตอย่างนี้เราฟังมาเยอะนะ ไอ้พวกที่ปฏิบัติว่าปฏิบัติเป็นนี่  เวลาพูดนะใกล้เคียงกัน  ใกล้เคียงไง ใกล้เคียงกับของหลวงปู่ขาว  ใกล้เคียง  คำว่าใกล้เคียงมันก็เหมือนของเทียมไง  ของเทียมทำเลียนแบบ  ลิขสิทธิ์มันไม่มี  ตัวเองไม่ได้คิดปัญญาขึ้นมาเอง  แล้วมันทำของมันขึ้นมา  เนี่ยมันใกล้เคียงกัน  มันเหมือนไม่บริสุทธิ์ มันเป็นไปไม่ได้  แต่เขาต้องเอาตรงนี้เข้ามาเห็นไหม  สิ่งที่มาก็เอามาจากทางวิชาการ  แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมาก็สร้างภาพขึ้นมาให้มันเป็นสภาวะแบบนั้น

เขาถึงอยู่ในวงการของเขา  เพราะอะไร  เพราะสิ่งที่มา ทางวิชาการทั้งหมดเขาไม่รู้หรอก  ถ้าเขาไม่รู้นี่เขาปฏิบัติกันมาทางวิชาการเห็นไหม  ทางอภิธรรมนี่เขาปฏิบัติมาเนิ่นนานแล้วล่ะ  แต่มรรคผลน่ะเขาหากันไม่ได้  แต่พอมาทางครูบาอาจารย์เรานี่  ครูบาอาจารย์ของเรามีใช่ไหม  แล้วถ้าทำอย่างนั้นแล้วผลสรุปคือเหมือนกันไง  เขาถึงบอกว่าในการปฏิบัติของเขา สรุปลงแล้วมันก็เหมือนอภิธรรม ลงกันได้หมด  ลงกันได้หมด 

คำว่าลงกันได้นะ  หลวงตาท่านก็ไม่ค้านเรื่องพระไตรปิฎกหรอก  ไม่ค้านเรื่องทางวิชาการของพระพุทธเจ้า  แต่ในการปฏิบัติน่ะมันต้องแยกเลย  พอมันแยกขึ้นมาผลสรุปแล้ว ที่หลวงปู่มั่นท่านบอกกับหลวงตาเห็นไหมว่า ศึกษามาขนาดไหน สิ่งที่ศึกษามาแล้วให้เชิดชูไว้ก่อน  พอพูดอย่างนี้บ่อยๆ เขามองกลับนะ  เขาเอาประเด็นนี้ไปบอกว่า  เรานี่ลบล้างพระพุทธเจ้า  เรานี่ลบล้างทุกๆ อย่างเลย  แต่ความจริงมันไม่ใช่ 

เราอยากให้ทุกคนทำได้จริงไง  ฉะนั้นเวลาพูด  สิ่งที่เอามาเป็นเครื่องยืนยัน  เอามาเป็นเครื่องยืนยันว่าหลวงปู่มั่น พวกเรานี่เชื่อถือว่า หลวงปู่มั่นหลวงตาเป็นพระอรหันต์ คำว่าเป็นพระอรหันต์เห็นไหม  หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า เชิดชูธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้บนศีรษะ แล้วเก็บใส่ไว้ในลิ้นชักก่อนเห็นไหม  แล้วลั่นกุญแจไว้อย่าเอาออกมา  แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา  ถ้าถึงที่สุดแล้วจะวิ่งเข้าหากัน  มันจะเหมือนกันไง  คำว่าเหมือนกันถ้าเรารู้จริงแล้วนี่  กับธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ต่างกันเลย 

แต่เพราะเราไม่รู้จริงเห็นไหม  เราไม่รู้จริงแต่พูดนี่ละเอียดมาก  พูดนี่ตามตำราทั้งหมดเลย  เห็นไหม  มันถึงเป็นอย่างนี้มานาน  พอมาแอบอิงกับขณะจิตที่ว่า ต้องมีขณะจิตอย่างนั้นๆ มันเหมือนกับทางโลก  อย่างถ้าเราเป็นคนโกหกนะ  เราพูดโกหกบ่อยๆ นี่เราโกหกจนเราจำโกหกไม่ได้นะ พูดที่นี่ก็โกหกอย่างหนึ่ง  พูดคราวหน้าก็โกหกอีกอย่างหนึ่ง  พูดครั้งที่  ครั้งที่ ๓  จำไม่ได้แล้ว  ขณะจิตทำไมมันสับสนนักล่ะ

ขณะจิตมันมีครั้งเดียว  ขณะจิตมันมีครั้งเดียวนะ  โสดาบันครั้งเดียว  สกิทาครั้งเดียว  อนาคาครั้งเดียว  พระอรหันต์ครั้งเดียว คำว่าครั้งเดียว  ถ้าครั้งเดียวเห็นไหม  แต่ขณะที่พูดใครเคยปฏิบัตินะ  ใครเคยหลง  หมายถึงว่าเวลาเราพยายามไปถึงเป้าหมายนั้น  เราเดินถึงเป้าหมายนั้นแต่เราเข้าใจผิด  ไอ้นี่มันจะมีความเห็นผิด  พอมีความเห็นผิด  เราคิดว่าเป็นขณะจิตไง  เราคิดว่า สภาวะแบบนี้ ความเห็นอย่างนี้ นี่คือขณะ  แต่พอมันเสื่อมแล้วเราทำใหม่เห็นไหม  อันนั้นน่ะมันฟ้องเลย  ถ้าขณะจิตมีหลายหนนะ  ขณะจิตที่มันแบบว่าเดี๋ยวเป็นอย่างนี้  เดี๋ยวเป็นอย่างนี้  แสดงว่ามันไม่มีขณะจิตเลย 

มันเป็นความเข้าใจผิดของจิต  มันเป็นความเข้าใจว่า ที่เราเห็นสภาวะเรานึกว่าเป็นขณะ  อย่างเช่นเรานิมิตหนหนึ่งเห็นไหม  พิจารณากายหนหนึ่ง  มันปล่อยหนหนึ่ง  เราคิดว่านี่เป็นขณะ  เราคิดว่าเป็นเพราะว่าเราศึกษาตำรามาเยอะ  เราฟังมาเยอะเห็นไหม  นี่การฟังเทศน์เวลาปฏิบัติมันมีผลอย่างนี้  เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าท่านจะไม่บอกเรื่องขณะ เรื่องผล  เพราะบอกเรื่องผลแล้วนี่คนมันจะจำ  ความจำอันนั้น  ถ้าเราเอามาเป็นประเด็น  เอามาเป็นการสร้างกำลังใจ  เอามาตั้งไว้  แล้วเราใช้ปัญญาของเราตีให้แตกออกไป  นั่นจะเป็นประโยชน์กับเรามาก 

เวลาเราภาวนาไปมันจะอั้นตู้  มันจะจนตรอกไง  ความคิดเรานี่มันจะไปไม่รอดเลย  เราเอาสิ่งนี้มาตั้ง นี่คือหัวเชื้อ  นี่คือธรรมะของครูบาอาจารย์เรา  ตั้งไว้แล้วเราคิดต่อเนื่อง ต่อยอด  พยายามขยายส่วน  พยายามให้ปัญญาเราเกิด  ถ้าปัญญามันเกิดนะมันจะเกิดปัญญาไป  คนที่ภาวนานะ  วันไหนถ้าปัญญาเกิดดีแล้วมันพิจารณาของมันไปนะ มันปล่อยนะ โอ้โฮ  สุขมาก  มีความร่มเย็นเป็นสุขนะ  หน้าตาแจ่มใส  ยิ้มแย้มแจ่มใสนะ  ถ้าวันไหนมันปล่อยมันสุขของมันนะ  ถ้าวันไหนภาวนาแล้วมันอั้นตู้นะ  มันไปไม่รอดนะ  โอ๊ย  หน้าตาหมองคล้ำ เศร้าสร้อย คอตกเลยนะเห็นไหม

           ผลมันเกิดจากอะไร  ผลมันเกิดจากหัวใจไง  ผลมันเกิดจากเราทำแล้วมันถูกต้องเห็นไหม  ถ้ามันปล่อยได้จริงเห็นไหม  มันจะมีความสุขของมันเห็นไหม  มันจะมีความสุข  เห็นไหมเป็นเครื่องดำเนินเราไป  แต่เราก็พยายามต่อเนื่องเข้าไป  แล้วถ้ามันเป็นความจริงนะ  เวลามันเป็นขณะจริง ขณะของมันจริงๆ มันแยกหมด  กายเป็นกาย  จิตเป็นจิต  ทุกข์เป็นทุกข์  แล้วมันจะไม่มีการกลับมาต่อกันได้อีกเลย 

ถ้ามันกลับมาต่อกันได้อีกนะ  อกุปปธรรม  อฐานะที่จะแปรสภาพที่มั่นคง  มันจะเป็นไปอย่างไร  ถ้ามันเป็นความจริงนะ  มันเป็นความจริงโดยเนื้อหาสาระ เป็นความจริงโดยข้อเท็จจริง  มันเป็นจริงๆ เลย  พอเป็นจริงๆ เลยนะ ใครจะว่าจริงไปไม่จริงนั่นมันเป็นปากคน  มันเป็นคำพูดของคนอื่น  ของใครก็แล้วแต่พูดออกไป  แต่ความจริงก็คือความจริงอย่างนั้น  ก้อนหินมันเป็นก้อนหินโดยเนื้อหาสาระ  ใครบอกเป็นก้อนหินคนนั้นพูดถูก  คนเข้าใจผิด คนบอกว่าไม่ใช่ก้อนหินไปพูดเป็นอย่างอื่น  มันก็คือก้อนหินเห็นไหม

          นี่ก็เหมือนกัน  สิ่งที่จิตมันเป็นแล้วมันจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงของมัน  ใครจะพูดอย่างไรนั่นมันเรื่องของเขา  มันเรื่องของเขาเลย  แต่ถ้ามันไม่จริงนะ  เราไปพูดให้มันจริงแค่ไหนมันก็ไม่จริง  แต่ถ้ามันเป็นจริงแล้วนะ  ใครจะบอกว่าไม่จริงมันก็จริง  ฉะนั้นมันไม่จำเป็น  มันไม่จำเป็นจะต้องให้ใครยืนยันให้ใครรับประกัน  ไม่ต้องการสิ่งใดเลย  พูดให้มันถูกเถอะ  ถ้ามันเป็นความจริงมันพูดอะไรมันพูดถูกหมด  แต่นี่มันไม่ถูกเห็นไหม  มันไม่ถูกเพราะอะไร  เราถึงบอกว่าตอบไม่ได้หรอก ตอบไม่ได้เพราะมันไม่รู้ที่มา  เข้าถึงเหตุถึงผลนั้นไม่ได้  พอเข้าถึงเหตุผลไม่ได้นี่ถึงจนตรอก  พอจนตรอกปั๊บก็ออกมาเป็นรูปแบบนี้  ออกรูปแบบเป็นการต้องให้หยุดไป  นี่พูดถึงความเห็นของเขา 

แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติของเราเห็นไหม  อันนี้เอามาเป็นกรณีตัวอย่างไง  สิ่งต่างๆ เวลาพูดเห็นไหม  โคนำฝูง  ถ้าโคนำฝูงที่ฉลาดนะ  มันจะพาฝูงโคนั้นขึ้นฝั่ง  ถ้าโคนำฝูงไม่ฉลาดมันจะพาฝูงโคนั้นไปสู่วังน้ำวน  วังน้ำวนมันดูดไปหมดเลย  แต่โคมันไม่รู้ว่าอะไรเป็นวังน้ำวน  ถ้าพระพุทธเจ้าพูดเป็นบุคคลาธิษฐานนี้มันจะเห็นภาพชัดเจนไง  แต่เวลาในชีวิตจริงมันเป็นอย่างไร  ในชีวิตจริงมันมีเรา  มันมีความเห็น  มีมุมมอง  มีความคิดของเรา  วังน้ำวนก็คือวัฏฏะ คือภพ  คือชาติ  คือการเกิดการตาย  แล้วถ้าผู้ที่ไม่ฉลาดมันพาให้เราไปวังน้ำวน  มันก็วนไปอยู่นั่นน่ะ

แต่ผู้ที่ฉลาดเห็นไหม  ผู้ที่ฉลาดจะพาเราออกจากวังน้ำวนนั้น  แล้ววังน้ำวนนะ เวลาโคมันไปมันก็เห็นต่อหน้าต่อตา  ดูดไปทั้งหมดเลย ทั้งฝูงเลย  แต่ของเรานี่มันใช้เวลานะ  กว่าใครจะรู้  สำนึกผิดสำนึกถูกนี่  บางทีทั้งชีวิตยังไม่รู้สำนึกเลย  วังน้ำวนอันนี้มันเป็นวัฏฏะ  มันกว้างใหญ่ไง  วัฏฏะมันกว้างใหญ่  มันต้องใช้กาลเวลา  เราตายไปแล้ว เรายังไม่รู้ว่าเราโดนหลอกเลยนะ  วังน้ำวนดูดเราไปตายแล้วนะ ยังไม่รู้ว่า เฮ้ย กูตายแล้ว กูตายเมื่อไรวะ  แล้วกูตายมาอย่างไรวะ  ทั้งๆ ที่ตายไปแล้วนะ  มันดูดไปหมดเลยเห็นไหม 

ความเชื่อความฝังใจของเรา  นี่ผลของมันเกิดอย่างนี้  ถ้าผลมันเกิดอย่างนี้  กาลามสูตรไง ไม่ต้องเชื่อสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น  ถ้ามีศรัทธาแล้วสิ่งนี้มันทดสอบ  เชื่อสันทิฏฐิโก  เชื่อความจริงของเรา  เชื่อความเป็นจริง  เชื่อสัจธรรม  ถ้าสัจธรรมมันเกิดขึ้นมาแล้วนะ  สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา  แต่ขณะก่อนที่มันจะเกิดขึ้นน่ะ  มันต้องลงทุนลงแรง การลงทุนลงแรงของเรามันเป็นของจำเจไง  เห็นไหมเวลาจำเจ  เดินจงกรมนั่งสมาธินี่

เวลาพระออกธุดงค์เห็นไหม  พอชินที่อยู่แล้วจะย้าย  ชินที่อยู่แล้วต้องย้ายไปตลอด  พอย้ายไปตลอดปั๊บ  ยิ่งไปอยู่ที่ป่าที่เขา  ยิ่งไปอยู่ที่ผีดุๆ เห็นไหม  ที่แรงๆ   คำว่าที่แรงๆ พระเราจะชอบเข้าไป  เพราะพอที่มันแรงเราจะนอนใจไม่ได้  เราไปอยู่ที่แรงๆ เราต้องตั้งใจของเรา  ต้องตั้งสติให้ดี  การตั้งสติ  การต่อสู้กับเรา  มันต้องเปลี่ยนสถานที่ สิ่งที่มันจะต่อสู้มา  สิ่งที่มันจะทำได้มา  มันไม่ใช่ของที่จะได้มาง่ายๆ 

 เพราะครูบาอาจารย์บอกว่า ธรรมะนี้อยู่ฟากตาย  แต่ของเขาบอกปฏิบัติเรียบง่ายๆ บอกทำอะไรก็สะดวกไปหมดเลย  ไอ้การปฏิบัติยากนี่มันเป็นการหลงผิดของชาวพุทธมานมนาน  เรียบง่ายๆ มันเหมือนการประกอบสัมมาอาชีวะเลย ประกอบอาชีพนี่เงินทองอยู่ในตลับหยิบเอาได้เหรอ  เงินทองพอถึงก็ไปหยิบ  นอกจากเล่นหวยไง  แทงผิดแทงถูกนั่นอย่างนั้นล่ะได้  แต่เราทำมาหากินมันจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้หรอก  มันต้องลงทุนลงแรงของเรา  เราต้องตั้งใจของเรา  เราต้องพยายามของเรา ไอ้นี่ก็เหมือนกันในการปฏิบัติ  มันเป็นข้อเท็จจริงของเรานะ  เราต้องต่อสู้ของเรา  เราต้องทำตามความเป็นจริงของเรา มันอยู่ที่อำนาจวาสนา  อยู่ที่การสร้างมา  จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน 

ถ้าจริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน  การกระทำจะให้เหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้  การกระทำมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ  สัจจะ อริยสัจจะ ความจริงอย่างนี้  ถ้ามันเข้ามาหลักแล้วมันก็หลากหลาย  เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงเปิดกว้างเห็นไหม  พระพุทธเจ้านี่เปิดกว้างมากนะ  แม้แต่การทำความสงบ ๔๐ วิธีการ  แล้วยิ่งขั้นของปัญญานี่ไม่มีขอบเขตเลย ปัญญาของใครใช้ขนาดไหนก็ได้  แต่ปัญญาที่จะใช้นี้  มันต้องมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน

แล้วนี่พอสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐานแล้ว  เขาปฏิเสธสัมมาสมาธิ เพราะเขาเห็นว่าเนิ่นนาน เนิ่นช้า  การทำสมถะเป็นความเนิ่นช้ามาก  สิ่งต่างๆ อย่างนี้มันจะติดต่างๆ แล้วถ้าไม่มีสมถะปัญญามันเกิดอย่างไร  ทีนี้ถ้าเราจะทำปัญญาให้มันเกิด เราจะทำความจริงของเรา  ประสาเรานะมันจะทรยศกับธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ มันจะทรยศไม่ได้เลย  เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าบอกว่าต้องมี ศีล  สมาธิ ปัญญา  ไอ้นี่เราจะมาลัดขั้นตอนแล้วว่าเป็นทางลัด  เป็นความเห็นของเรา แต่มันเป็นความจริงไหมล่ะ  ถ้าเป็นความจริงพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ศีล  สมาธิ  ปัญญา 

สมาธิความสงบของใจมันต้องมี  ไม่มีหลักฐาน ไม่มีความสงบของใจเลย ความคิดทั้งหมดมันจะเป็นโลกียปัญญา  มันเป็นสามัญสำนึก  มันเป็นปัญญาของเราอยู่แล้ว  แต่ถ้าความสงบเข้ามา  แล้วปัญญาความแตกต่างอย่างนี้มันไม่มี  ในคำพูดของเขาไม่มีเลย  ในคำพูดในการสอนของเขาไม่มีเลย  เขาบอกสิ่งนี้เป็นการใช้ปัญญา  ใช้ปัญญาตัด  ใช้สัญญาจำเข้าไป  จำเข้าไปให้มั่นคงเป็นใช้ได้  แต่ในครูบาอาจารย์เรามาบอกไว้แล้วนะ  สัญญานี่มันเป็นอันตรายมาก สัญญาเหมือนกับเราสร้างภาพลวงไว้ เราจะเข้าสู่ภาพจริงนั้นไม่ได้เลย 

ดูสิมนุษย์เราเห็นไหม  เวลาไปยืนอยู่ในที่มีแดดมันจะมีเงา  ในหัวใจของเรา  พลังงานคือตัวจิต  ความคิดเป็นเงา  ความคิดนี้เป็นเงา  แล้วเวลาดูกัน  เขาบอกดูจิตๆ  ความจริงมันไปดูที่เงา  เพราะเขาไม่รู้จักจิตกันไง  เขาไม่รู้จักพลังงาน  เขาเห็นแต่สัญญาอารมณ์  แต่เวลาพูด  ไม่ใช่ มันเป็นสัญญาอารมณ์  มันจะเป็น..  อธิบายมันเป็นวิชาการหมดเลย  มันเป็นอภิธรรม 

แต่ถ้าเป็นความจริง  ชื่อมันอย่างหนึ่งใช่ไหม  อย่างเช่นคนร้าย  คนร้ายที่มันปล้นไปมันนำไป  คนนี้เรารู้อยู่ว่าคนนี้ลักของไป  แต่เรายังไม่ได้ตัวมัน  เรารู้เฉยๆ นี่ก็เหมือนกัน  ถ้ารู้เฉยๆ นี่  คำว่ารู้เฉยๆ เราจะจิตนาการได้หมดเลย  เราจะจินตนาการว่าเขาปล้นอย่างไร  เขาทำอย่างไร  อู๊ย  เราจะสร้างภาพได้เอง  เพราะมันไม่เป็นความจริง  แต่ถ้าเราได้ตัวมันมาแล้ว  มึงทำอย่างไร  มึงเข้าอย่างไร  มึงออกอย่างไร 

นี่ก็เหมือนกัน เงาเห็นไหม  ร่างกายเรากับเงา  พลังงานกับความคิด  แล้วความคิดมันเกิดดับ  เราถึงบอกความคิดเกิดดับ  จิตไม่เคยเกิดดับ  จิตไม่เคยเกิดดับ  พลังงานนี้มันอยู่ของมันตลอดไป  แม้แต่นอนหลับมันก็มีของมันอยู่  จิตไม่เคยดับนะ  จิตไม่เคยดับ  แล้วที่ว่าสิ่งที่จิตไม่เคยดับนี่  สิ่งที่ไม่เคยดับมันมีของมันอยู่ใช่ไหม  แต่ความคิดสิ  ความคิดมันเกิดดับ 

ถ้าความคิดมันเกิดดับ  พอความคิดมันดับแล้วมันเหลืออะไรล่ะ  เหลืออะไร  ทีนี้สิ่งต่างๆ เห็นไหมบอกว่าจิตไม่เคยดับ  แล้วเวลาบอกว่าจิตดับน่ะดับไม่ได้เห็นไหม  คำว่าจิตดับ  จิตมันไม่เคยดับ แต่คำว่าจิตดับของครูบาอาจารย์เนี่ยความรู้สึก ความรู้สึกมันดับ  สิ่งต่างๆ ความรู้สึกมันดับ  มันทรงตัวของมันอยู่โดยธรรมชาติของมันเห็นไหม  สิ่งต่างๆ   เวลาลมพัดมาเสียงต่างๆ เรารับรู้ได้หมดใช่ไหม  แต่เวลาจิตมันตั้งอยู่เฉยๆ น่ะมันตั้งอยู่ไม่ได้  จิตนี้ตั้งอยู่ไม่ได้ 

แต่เวลาเราทำสมาธิ  เราฟังธรรมมากๆ   เรามีสิ่งที่กระทบหัวใจมาก  มันทรงตัวของมันโดยที่ไม่ออกมารับรู้เห็นไหม  มันดับจากความรู้สึก  แต่ตัวมันดับไม่ได้หรอก  แต่มันดับจากความรู้สึกไง  จิตดับคือดับจากความรับรู้ข้างนอก รับรู้สิ่งต่างๆ ที่เรารับรู้ เสียงกระทบหู  ผิวหนังรับรู้ต่างๆ เห็นไหม  เวลาเรากำหนดพุทโธๆ จิตเราสงบบ้าง  แต่มันก็ยังรับรู้อยู่  ลมพัดมาสิ่งต่างๆ ความกระทบกับร่างกายรับรู้หมดเลย 

แต่ถ้ามันเป็นอัปปนาสมาธิ  มันสักแต่ว่า  มันสักแต่ว่ารู้ในตัวของมันเลยนะ ความรู้สึกทางผิวหนังไม่มี  ความรู้สึกในร่างกายเราไม่มี  แม้แต่จิตกับกายอยู่ด้วยกันนี่แหละ  แต่จิตมันไม่รับรู้ส่วนของร่างกายเลย  มันเป็นเอกเทศของมันเองเลย  นี่เห็นไหมพลังงานมันมีของมันอยู่  มันดับจากความรับรู้ข้างนอกเข้ามาเป็นตัวมันเองหมดเลย  จิตดับ  คำว่าจิตดับ  มันดับจากโลกสามัญสำนึก  ใช่ไหม  สามัญสำนึกของโลกมันดับของมันเข้ามา 

แล้วคำว่าความคิดเกิดดับ  ความคิดเกิดดับจากข้างนอก สิ่งต่างๆ ที่มันดับตรงนี้  มันดับตรงไหน  สิ่งที่เป็นเงานี่มันแก้กิเลสได้ไหม  มันแก้กิเลสไม่ได้  สิ่งนี้มันแก้กิเลสไม่ได้ไง  แล้วนี่มองกันอย่างนั้น  ตีความกันอย่างนั้น ตีความตามความเข้าใจผิดของเขาไป  แต่ถ้ามันประพฤติปฏิบัติเข้ามา มันจะตีความอย่างนั้นไม่ได้  เวลาสอนขึ้นมา  การสอนมันสอนจากประสบการณ์ใช่ไหม  สอนจากเทคนิคของตัว

แล้วเราคนปฏิบัตินี่ เวลาปฏิบัติขึ้นมาทุกคนจะ..  เช่น  คนทำสมาธิเขาว่าทำอย่างไรถึงจิตสงบ  เวลาว่างๆ จิตสงบแล้ววิปัสสนาอย่างไร  วิปัสสนาแล้วมันปล่อยอย่างไร วิปัสสนาปล่อยแล้วปล่อยอีกแล้วมันจะขาดอย่างไร  เวลามันขาดไปแล้วนี่  จะเริ่มดำเนินการขั้นตอนต่อไปอย่างไรเห็นไหม  เวลาลูกศิษย์มาถามอาจารย์  อาจารย์จะตอบเป็นขั้นๆๆ ไป  มันอยู่ที่วุฒิภาวะ  อยู่ที่ภูมิของผู้ถาม  ผู้ถามเขาปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน 

มันจะปฏิบัติขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นไหม  ถ้ามันเป็นขั้นตอนๆ ขึ้นไป  มันไม่ใช่ว่ามันจะต้องเป็นเหมือนกันหมด  มันไม่มีสิ่งใดที่เป็นเหมือนกันหมด  มันอยู่ที่จริตนิสัยของคน  อยู่ที่ความถนัดของคน  คนทำได้มากได้น้อยแล้วแต่คน  สิ่งนี้ถ้ามันมีความจริงอย่างนี้ออกมาเห็นไหม  ถ้ามีความจริงอย่างนี้ออกมา สิ่งที่พูดออกมานี่มันไม่ขัดแย้งกัน  มันไม่ขัดแย้งกับธรรมพระพุทธเจ้านะ  นี่เวลาพูดธรรมะพระพุทธเจ้า นี่ชัดเจนมาก  ที่ว่าเวลาเมื่อก่อนทำไมเขาละเอียดมาก  เขาตอบได้ละเอียดมาก  ละเอียดนั่นเป็นทางวิชาการ  ทางวิชาการที่ว่าเขาไปค้นคว้าได้  แต่เวลาเอาความจริงสิ  เอาความจริงที่ตอบ ไหมนี่  งงนะ

เหมือนเราเนี่ย เวลาเราไปกู้ยืมเงินคนอื่นใช้  เรากู้ได้หมด  แต่เราทำมาหากินไม่เป็น  แต่ถ้าเราทำมาหากินเป็นนะ เงินของเราเอง เราไม่ต้องกู้ยืมของคนอื่นมาใช้นะ  กู้ยืมนี่กู้ได้หมด  แชร์ลูกโซ่ไง  หมุนอยู่นั่นน่ะ หมุนไปเรื่อย  เงินมหาศาลเลยหมุนเข้ามา แต่เป็นการทุจริตหมดเลย  แต่ถ้าจะทำให้เรามีฐานะอย่างนั้น  แต่ละทีแต่ละครั้งไม่ใช่ของง่ายๆ แล้วทำเป็นฐานะอย่างนั้นขึ้นมาแล้วเป็นเงินของเรา  ถ้าเป็นเงินของเรานี่เราเป็นคนหาเข้ามาใช่ไหม  เราไม่ใช่ทำแชร์ลูกโซ่ขึ้นมา  หลอกลวงเขามา  หมุนเข้ามา  ให้มันมีเงินเข้ามาผ่านเรา    

แต่ถ้าเป็นเงินของเรา  เรารักษาไว้เองเราจะไม่ต้องตกใจกับสิ่งใดเลย  เราจะไม่ตื่นเต้นกับสิ่งใดเลย  เพราะสิ่งนี้เป็นของเรา  เราหาของเรามา  เราบริหารของเราโดยบริสุทธิ์ผุดผ่องของเรา  เรารักษาของเราได้  สิ่งนี้มันเอามาแจกแจงเอามาพูดที่ไหนก็ได้  ถ้ามันไม่มีตรงนี้มันก็หมุนไปเรื่อยๆ  แล้วหนาว..  หนาวว่ามันไม่มีที่ลงไง  ลงไม่ได้  ถ้าลงไม่ได้ปั๊บนี่  มันก็เป็นกระแสไปล่ะ  เพียงแต่เมื่อก่อนมันพยายามจะเข้าไปประสานงานเพื่อให้จบใช่ไหม  มันต้องให้หยุดไปข้างใดข้างหนึ่ง  ไอ้อย่างนี้มันเป็นกระแสสังคม  กระแสสังคมนี่เป็นอย่างหนึ่งนะ 

แต่อย่างพูดเมื่อวานนี่การเมืองกับความจริง  การเมืองเป็นการเมือง  การเมืองเป็นความเชื่อ  กระแสสังคมเป็นความเชื่อนะ  ปลุกกระแสความเชื่อขึ้นมา  ผู้ที่มีความเชื่อในสิ่งนั้นแล้ว  เอาความเชื่อนั้นน่ะ  ใครพูดผิดจากความเชื่อของเราพวกนั้นผิด  เนี่ยสร้างกระแสขึ้นมา  ให้มันเป็นกระแส  ให้มันมีความเชื่อ  ความเชื่อก็เป็นการเมือง ความเชื่อคือความจริงของการเมือง  เพราะในการเมืองนะ  มันมีกาลเทศะ มันมีการหมุนเวียนของมัน เรื่องของการเมืองใช่ไหม  มันเป็นกระแส  เป็นการปกครอง  เป็นการควบคุมมวลชนนี่คือการเมือง 

แต่ทีนี้ความเชื่อคือความศรัทธา  ศรัทธาความเชื่อ  แต่ศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้  ต้องเป็นความจริง  ทีนี้ความจริงนี้คนจะเข้าถึงได้กี่คน  ถ้าความจริงอันนี้เกิดขึ้นระหว่างความเชื่อกับความจริง  ถ้าเขามีแต่ความเชื่อ  เขาก็ยึดมั่นของเขา  แล้วความเชื่อออกมาจากธรรมพระพุทธเจ้าไง  แล้วว่าอันนั้นเป็นความจริง  แต่ถ้าความจริง  ความจริงคนปฏิบัติได้ยาก  แต่มันก็ดีอย่างหนึ่งว่าถ้าความจริงออกไป  ขนาดว่าปฏิบัติได้ยากคนยังสนใจเข้าใจได้เยอะนะ  คนสนใจและเข้าใจได้เยอะ  มันเป็นสิ่งที่เปรียบเทียบ  ศาสนานี้มันถึงมีเนื้อหาสาระไง  เวลาพูดถึงว่ามรรคผลไม่มี   นรกสวรรค์ไม่มี  ทุกอย่างไม่มีทั้งนั้น  ไม่มีเพราะไม่มีใครเข้าไปสัมผัสตามความเป็นจริงไง  

แต่ถ้ามีใครเข้าไปสัมผัสตามความเป็นจริงอันนั้นได้  สิ่งนั้นมีอยู่นะ  สัมผัสความเป็นจริงได้แล้วมันเป็นความจริงที่หลากหลาย  ความจริงจากข้างนอก  ความจริงจากข้างใน  ความจริงของข้างนอกเห็นไหม  ความจริงของวัฏฏะไง  ผลของวัฏฏะ  เราเกิดนี้เป็นผลของวัฏฏะ  เกิดจากบุญจากกรรมเห็นไหม  จากบุญจากกรรมนี่เป็นผลของวัฏฏะ  นี่ความจริง  ความจริงอยู่ข้างนอก  เพราะมันเป็นวัฏฏะอยู่แล้ว  คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ  มันจะโดนแรงโดนผลของวัฏฏะนี้หมุนไป   จิตนี้มันต้องหมุนไปกับวัฏฏะ จิต เพราะวัฏฏะนี้เป็นที่อาศัยของจิต เป็นภพอาศัยของจิต  จิตจะหมุนไปกับวัฏฏะนี้  นี่มันจะหมุนของมันไป

แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะ  ส่วนที่เป็นความจริงที่มันไม่หมุนไปในวัฏฏะ  เพราะมันมีจุดยืนของมัน มีหลักเกณฑ์ของมัน  มันจะพ้นออกไปจากวัฏฏะ  วัฏฏะนี้ไม่มีอำนาจกับมันเลย  นี่ความจริงไง  ความจริงที่มันจะพ้นจากวัฏฏะไปเห็นไหม  กระแสถึงควบคุมสิ่งนี้ไม่ได้  แต่ถ้าเราไม่มีจุดยืนของเรา  เราไม่มีความจริงของเรา  เราจะไปตามกระแสของวัฏฏะนั้น  มันก็หมุนของมันไป  ถ้าเขาสร้างกระแสอย่างนั้นไป  มันเป็นกระแส  แล้วเป็นความเชื่อ  ทีนี้มนุษย์ไง  สิ่งที่เป็นมนุษย์  ความตื่นของมนุษย์  มนุษย์มันตื่นของมันไป 

 แต่ดูในพระไตรปิฎกเห็นไหม  กระต่ายตื่นตูม  เวลาผลตาลตกลงมา  ฟ้าถล่มๆ  มันตื่นของมันไป  สัตว์ทั้งหมดไปหมดเลย  แต่ผู้ที่มีสติปัญญานะ  อะไรมันถล่ม  กลับไปดูซิ  ลูกตาลตกใส่ใบตาล  นี่ก็เหมือนกัน  สิ่งที่พูดมันมีข้อเท็จจริงมากน้อยแค่ไหน  ถ้ามีความจริงมากน้อยแค่ไหน กลัวอะไรกับการตรวจสอบ  ครูบาอาจารย์ของเรายิ่งชอบการตรวจสอบ  ยิ่งตรวจสอบยิ่งสะอาด  ยิ่งตรวจสอบยิ่งดีงาม 

นี่ก็เหมือนกัน มีธรรมะมันต้องคุยกัน  อย่างของเรานี่เห็นไหม  เราถามปัญหาไป ตอบมา  ก็เหมือนกับเราเทศน์   ธรรมมาสก์  มันเป็นปุจฉา-วิสัชนาใช่ไหม  ปุจฉาแล้วก็วิสัชนา  แล้วเอ็งก็ปุจฉาบ้าง ข้าก็วิสัชนาเห็นไหม  ถาม-ตอบ  มันเป็นการถาม-ตอบ อย่างนี้สิธรรมะมันถึงเป็นอย่างนี้  นี่เวลาของเขาปุจฉามาเราก็ตอบแล้วไง  เห็นไหม  จิตเป็นดวง จิตต่างๆ อะไรเราตอบหมด  เราตอบไปแล้ว  เงียบ  จิตส่งออกไม่ได้  เป็นไปไม่ได้  จิตคือพลังงาน  พลังงานความร้อนคลายตัวหมด  จิตส่งออกทั้งหมด

จิตส่งออกทั้งหมด  แต่เพราะสติเข้าไปควบคุมมันถึงหดตัวสงบเข้ามา  สิ่งที่มันจะสงบได้  พลังงานที่มันออกไป  พลังงานเห็นไหม  ดูความคิดนี่มันออกหมดเลย  สติตั้งไว้แล้วกำหนดบริกรรมพุทโธๆๆ เพื่อให้พลังงานนี้รวมตัว  พอพลังงานรวมตัวเข้ามาแล้ว  จากจิตที่ส่งออก พลังงานที่ส่งออกเป็นพลังงานที่สงบนิ่ง  พลังงานที่สงบนิ่งนี้เป็นพื้นฐาน  เป็นพื้นฐานขึ้นมาจะให้ใช้ปัญญา  ปัญญาที่เกิดจากพลังงานอันนี้  มันถึงเป็นปัญญาเข้ามาชำระล้างกิเลสในพลังงานอันนี้  พลังงานอันนี้คือธาตุรู้  คือตัวจิต 

 ถ้าไม่มีพื้นฐานอันนี้  กิเลสมันเกิดที่ตรงไหน  แล้วกิเลสมันจะไปตายที่ไหน  กิเลสมันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน  นี่ไม่มีที่สิ้นสุดไง  จิตส่งออกไม่ได้  จิตมันเป็นธรรมชาติของมัน  มันก็เลยกลายเป็น มันมีนิพพานอยู่แล้ว  จิตนี้มีนิพพานดั้งเดิมอยู่แล้ว  เพียงแต่เข้าไปเห็นมันดูมันก็จบ ก็คือนิพพาน ก้อนหินก็เป็นนิพพานอย่างนั้นน่ะ  ก้อนหินก็ไม่ขยับเลย  ก้อนหินมันก็ตั้งเด่ของมันอย่างนั้น  แต่เพราะความคิดสูตรสำเร็จเห็นไหม 

เพราะมันเป็นทางวิชาการ แล้วยึดทางวิชาการเป็นหลัก  ก็คำว่าวิชาการอันนั้น  เพียงแต่แอบอิงอ้างอิง  เหมือนกับว่าครูบาอาจารย์เราน่ะสร้างเครดิตความน่าเชื่อถือขึ้นมา  แล้วเขาก็อาศัยอิงความเชื่อถืออันนี้เท่านั้นเอง  แต่ข้อเท็จจริงของเขาไม่ได้ทำเป็นแบบนี้  ฉะนั้นเวลาเราพูดออกมา  อย่างไรเขาก็ตอบไม่ได้  เขาตอบไม่ได้หรอก เพราะที่มามันคนละอัน  ที่มาของเขานั้นที่มาของธรรมพระพุทธเจ้า 

แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่ธรรมพระพุทธเจ้าจริงๆ  เพราะเราเป็นสาวก  สาวกะ  เราเกิดใต้ร่มธงของพุทธศาสนา  ในการปฏิบัติของพวกเรานี้ก็ปฏิบัติในใต้ร่มธงของพุทธศาสนานี่แหละ  แต่เวลาจิตของเรามันเป็นขึ้นมา มันเป็นสมบัติของเราที่เราเกิดในใต้ร่มธงนั้น  แล้วเราได้ผล  เก็บผลประโยชน์จากในหัวใจของเราขึ้นมา 

แต่ถ้าไปจำธรรมพระพุทธเจ้าขึ้นมา  ร่มธงเห็นไหม  เราจะไปเอาธงคันนั้นมาเป็นของเราไม่ได้ เราเกิดอยู่ใต้ร่มธง แต่ธงนี้เป็นธงของพระพุทธเจ้า ใต้ร่มธงของพุทธศาสนา  นี่เขาบอกว่า ต้องเป็นธงอย่างนี้อย่างเดียว  ความรู้สึกความจริงของเรามันไม่มี  มันเป็นไปไม่ได้หรอก  เราต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา  เราเกิดจากใต้ร่มธงของพุทธศาสนา เราถึงเคารพบูชา  แต่การเคารพบูชานี้เพื่อสร้างฐานะ เพื่อการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา  แล้วมันเกิดขึ้นมาจากความเป็นจริง  มันถึงจะพูดได้  เคลียร์ได้หมด  แล้วถ้าเคลียร์ไม่ได้มันก็เป็นเรื่องของกระแส  เป็นบุญเป็นกรรมของเขาไป 

นี่พูดถึงการตอบได้ และตอบไม่ได้  ตอบไม่ได้หรอก ถ้ามันไม่รู้ออกมาจากหัวใจ  เขาตอบของเขานี่เขาตอบของเขาทางปริยัติ  แต่พวกก่อนหน้านั้นมันไม่มีใครรู้จริง  คือไม่มีปัญญาที่เข้าไปกลั่นกรอง  ไม่มี จับต้องตรงนี้ไม่ได้  เขาก็เลยกระแสมันก็ไปได้เรื่อยๆ  แต่ถ้าตอนนั้นเราไปพูดอะไรกัน  มันก็เป็นการขัดแย้งกัน  แต่ตอนนี้มันออกมาอย่างนี้แล้ว  ออกมาอย่างนี้หมายถึงว่า  มันเป็นหนทางในปฏิบัติ  มัคโค  มัคคะ  มรรคญาณ  เป็นทางอันเอก  ทีนี้ทางอันเอกของใครมันจะเข้าไปถึงปลายทางนั้นได้ไง  มันเห็นชัดๆ ไง  มันเลยพูดได้ชัดเจน 

แต่ถ้าก่อนหน้านั้น  มันยังไม่เสนอแนวทางออกมาชัดเจน  ก็ว่าเหมือนกันอีก  ไม่มีสองทาง  ก็คือทางเดียวนี่แหละ  ทางเหมือนกันแต่เพราะตีความผิด  เพราะความเข้าใจผิดทั้งนั้นล่ะ  แต่ตอนนี้มันเห็นชัดเจนเห็นไหม  ชัดเจนขึ้นมาก็เลยบอกแนวทาง  พอแนวทางขึ้นมาดิ้นไม่ออกแล้ว  พอดิ้นไม่ออกแล้วทำอย่างไรล่ะ  เขาก็ต้องหาทางของเขา  เราบอกว่าตอบไม่ได้  ตอบไม่ได้นี่มันไม่จำเป็นหรอก  ตอบหรือไม่ตอบ  พวกเราไม่มีปัญหานะ 

เพราะว่าเราเกิดมา  ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่เป็นอิสรภาพของเรา  เราจะเชื่ออะไรก็ได้  เราจะทำหน้าที่การงานของเรานี่เป็นประโยชน์กับเรา  แล้วเรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของเขา  เขาจะตอบได้หรือตอบไม่ได้  เราไม่ได้มีผลได้ผลเสียกับเขาทั้งสิ้น  แต่ที่พูดนี้พูดเพื่อธรรมะ พูดเพื่อสัจจะความจริง  พูดเพื่อสังคมโลก  สังคมโลกจะได้เห็นว่าอะไรเป็นทางที่ควร  ควรจะใช้เพื่อเป็นการดำเนินชีวิตของตัวเอง  ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลย แล้วไม่มีสิ่งใดเลยเป็นเครื่องวัดตรวจสอบ  ให้ใครก็ได้พูดอย่างไรก็ได้ตามใจเขา 

ใครพูดอย่างไรก็ได้ แต่มันจะต้องลงกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มันเป็นอันเดียวกัน  แล้วพูดถึง  ถ้าสิ่งที่เขาพูดมันเป็นความถูกต้อง  ที่เราพูดออกมานี่เห็นไหม  เราก็ไม่ได้พูดแล้วเอาไปเก็บใส่ตุ่มใส่ไหที่ไหน  เราพูดเสร็จแล้วมันก็เป็นสมบัติสาธารณะ  ทุกคนก็ตรวจสอบเราได้เหมือนกัน  เราตรวจสอบใครก็ได้  คนอื่นก็ตรวจสอบเราได้ทั้งนั้น  ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเหมือนกันทั้งหมด  พูดเสร็จแล้วไม่ใช่เราเก็บไว้นี่  พูดเสร็จแล้วมันก็กระจายออกไป  มันเป็นสาธารณะเหมือนกัน   มันเปิดเผยเหมือนกัน  ทุกคนตรวจสอบได้เหมือนกัน  มันเสรีภาพเหมือนกัน  มันถึงว่าสิ่งที่เป็นจริงมันพร้อมที่จะให้พิสูจน์  สิ่งที่ไม่เป็นจริงเท่านั้น พร้อมที่จะหลบหลีกแล้วไม่สู้กับความจริง  เอวัง